ทรุิประนอง 5 วัน 4 คืน ตอนจบ

วันที่ 17 มิถุนายน 2559
วันนี้อากาศปลอดโปรงโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก เราก็ตื่นมาเก็บของ, เช็คเอ้า และไปรับประทานอาหารเช้าก่อนไปทำงานครับ วันนี้แปลกมาก ๆ ไม่เหมือนทุกวันที่ตื่นมาปุบฝนตกตลอด ขอข้ามทามไลน์ช่วงเวลา 8.00 - 11.30น. นะครับ (ช่วงเวลาทำงาน และสรุปรายงานให้กับบริษัทฯ)

ณ เวลา 11.45น. หลังจากทำงานกันเสร็จเรียบร้อยทางออฟฟิช ก็พาพวกเรามาเลี้ยงข้าวกันครับ ตอนแรกเราอยากไป ร้านนิศรา อยากไปลองกินโรตีกับแกงกะหรี่ แต่คนที่นี่บอกว่าต้องเป็นตอนเช้าไปเวลานี้ไม่ค่อยมีอะไรเหลือ เพราะร้านปิดเวลา 14.00น. เราเลยแห้วและต้องมาบรรจบที่ ร้านอาหารใน ปตท. ครับ
ร้านชื่อว่า ครัวปตท. เปิด 9.30 - 21.00น. อยู่ตรงข้ามบริษัทฯ นิดเดียวครับ
บรรยากาศในร้านถือว่า โอเครเลยครับ อากาศเย็นสบายไม่ร้อนจนเกินไป และร้านก็ค่อนข้างสะอาดครับ แต่เหมือนเจ้าของชอบแมวมีแมวเต็มไปหมดเลย และรู้สึกว่าร้านนี้คนจะเยอะด้วยนะครับ ที่เห็นในภาพคือพวกเรามาก่อนเที่ยงครับ พอหลังเที่ยงปุบคนแน่นเลย 

อาหารอร่อยมาก ๆ ครับ โดยเฉพาะกุ้งผัดสตอนี่แหละ ชอบมาก ๆ เลย ถ่ายมาได้แค่นี้ครับ เพราะที่เหลือยังไม่มา และเราก็หิวมาก ๆ ด้วย 

หลังจากทานข้าวเสร็จเราก็มาต่อของหวานกันครับ ที่เห็นนี่คือ โอวเอ้ว ครับ ออกเสียงลำบากนิดนึงนะครับ ฮ่าาาา อร่อยมากครับ

ความเป็นมาของขนมหวานโอวเอ้ว
โอ้เอ๋ว หรือ โอ๊ะเอ๋ว เป็นอาหารท้องถิ่นของจังหวัดภูเก็ต ได้จากวุ้นของเมล็ดโอ้เอ๋ว ที่แช่น้ำแล้วใช้เมือกโอ้เอ้วมาผสมกับเมือกของกล้วยน้ำว้าใส่เจี่ยกอ เพื่อให้โอ๊ะเอ๋ว เกาะตัวเป็นก้อน นำมาใส่น้ำเชื่อมและน้ำแข็งใส กินแก้ร้อนใน และลดการกระหายน้ำ

ชาวภูเก็ตจะรับประทานโอ้เอ๋ว สามแบบ คือ โอ้เอ๋วใส่ถั่วแดงและเฉาก๊วย (ขาว ดำ แดง) โอ้เอ๋วใส่ถั่วแดง (ขาว แดง) และ โอ้เอ๋วใส่เฉาก๊วย (ขาว ดำ) บางคนนิยมใส่กล้วยและน้ำหวานด้วย แหล่งขายโอ้เอ๋วในจังหวัดภูเก็ตที่สำคัญคือ โรงหนังสยามเก่า และซอยหล่อโรงหรือตลาดฉำฉา

สรุปให้เลยนะครับ โอวเอ้ว นั้นเป็นอาหารท้องถิ่นจังหวัดภูเก็ต และวุ้นทำมาจากกล้วยครับ รสชาติไม่หวานครับ อร่อยกำลังดี

ขอให้คะแนนร้านครัว ปตท. ครับ เต็ม 5 ดาว
บรรยากาศของร้าน 3 / 5
รสชาติ 4 / 5
การบริการ 3 / 5
ราคา 3.5 / 5

เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับคะแนนที่ผมได้ให้ร้านนี้ การให้คะแนนนี้เป็นแบบส่วนตัวนะครับไม่เกี่ยวกับบุคคลอื่น ^_^

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็ได้เวลาตะลอนละครับ ดูนาฬิกาก็ 13.15น. ผมก็เลยถือวิสาสะเอารถผู้จัดการขับหนีไป ภูเขาหญ้า เลยครับ (ผู้จัดการบ่นอุบเลยเอารถไปไม่บอก ฮ่าาาา )
ขับออกจากตัวเมืองระนอง ไปทางใต้ประมาณ 4 - 5 กิโลเมตร จะเห็นภูเขาหญ้าด้านขวามือ ถนนระนองขับรถง่ายมากเลยครับเพราะไม่ค่อยมีรถวิ่งเลยใช้เวลาเดินทางมาแค่ 15 - 20 นาที

ประวัติของภูเขาหญ้า
ภูเขาหญ้าสองสี เขาหัวล้านหรือเขาผีนี้ เป็นภูเขาที่ไม่มีไม้ใหญ่ขึ้น ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลหงาว จากเขตเทศบาลเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 4 (ระนอง-พังงา) ประมาณ 13 กิโลเมตร ในฤดูฝนมีหญ้าสีเขียวขึ้นปกคลุมแนวเขาที่ทอดตัวจากทิศเหนือสู่ทิศใต้ บางครั้งจึงเรียกว่า ภูเขาหญ้า ที่ราบเชิงเขามีทางเดินเท้าสำหรับนักท่องเที่ยวขึ้นสู่บนสันเขาเพื่อชมทิวทัศน์โดยรอบ เพื่อเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ และชมความมหัศจรรย์ยามเย็น ครั้นเมื่อพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าภูเขาทั้งลูกจะกลายเป็นสีทอง

วันเวลาที่แนะนำ ภูเขาหญ้าสามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ภูเขาหญ้าสีเขียวพบได้ในช่วงฤดูฝนตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม ภูเขาหญ้าสีทองพบได้ในฤดูแล้งตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน

ตอนที่ไปเป็นช่วงฤดูฝนหญ้าจึงเป็นสีเขียว และวัวก็เต็มไปหมดเลยครับ แต่ถ้ามาฤดูแล้งคนที่นี่บอกว่าหญ้าจะเป็นสีทอง แนะนำให้มาช่วงหน้าแล้งดีกว่าครับ พ.ย. - ก.พ. ครับ ถ้าเลยกุมภาไปแล้วฝนจะเริ่มตกหญ้าจากสีทองจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้วครับ

มีมองหน้า พอเดินเข้าไปหาใกล้ ๆ ก็ทำเมินใส่นะเจ้าวัว

อยู่ที่นี่เก็บภาพชมทิวทัศน์ได้สักชม. เราก็ขับกลับครับ ถึงบริษัทฯ ก็ได้เวลาประมาณ 14.35น. นั้งนอน ๆ รอเวลา 16.00น. เพื่อที่จะไปเช็กอินที่สนามบินครับ 

หลังจากเวลา 16.00น. เราก็ให้พนักงานที่บริษัทฯ ขับรถไปส่งเราที่สนามบินระนอง ตอนนั้งกันไปนั้นเราก็เห็นเมฆดำมาแต่ไกลเลย คิดในใจเอาแล้วอากาศดีทั้งวันอย่าเพิ่งมาตกตอนเครื่องจะออกเลยนะ (เวลาเครื่องบินออก 18.50น.) 
เมื่อเรามาถึงเราก็ตรงนิ่งไปเช็กอินครับ เอากระเป๋าโหลดขึ้นเครื่องเราจะได้เดินตัวเปล่าไปไหนมาไหนได้ครับ อิอิ เดี๋ยวผมรีวิวสนามบินระนองให้ตามที่เห็นในรูปด้านล่างเลยครับ
สนามบินระนองมีทั้งหมด 2 ชั้นไม่รวมชั้นใต้ดิน บรรยากาศรอบ ๆ สนามบินเต็มไปด้วยป่า และภูเขา เขียวขจี ส่วนในสนามบินนั้นก็มีร้านค้าอยู่ 2 ร้านครับ เป็นร้านกาแฟ และอีกร้านคือร้านโอท็อปขายของชำ ชั้น 2 นั้นปิดบริการ สายการบินที่ลงที่นี่มีแค่สายการบินเดียวคือ สายการบินนกแอร์ ครับ (ไร้คู่แข่งทางการตลาด ถึงว่าถ้าไม่ใช่ช่วงโปรราคาพุ่งไป 2,100 บาท)

หลังจากเดินจนทั่วเราก็มานั้งรอเวลาเครื่องบินมาพอ 18.00น. ปุบฝนตกหนักมาก คิดในใจเอาละหว่าเครื่องบินจะมาตรงเวลาไหมหนอ พอ 18.30น. ทางเจ้าหน้าที่ก็เรียกผู้โดยสารเอา Gate ครับ
ภาพ Gate พักผู้โดยสาร
พอเจ้าหน้าที่สนามบินเรียกเข้า Gate เราก็ดีใจนึกว่าจะได้กลับบ้าน แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นครับ เมื่อฝนตกไม่หยุด จนถึงเวลาที่เครื่องต้องลง 18.50น. เจ้าหน้าที่สายการบินนกแอร์ก็ประกาศว่า "ข้างนอกตอนนี้ฝนตกหนัก เครื่องบิน DD.......... ไม่สามารถลงจอดได้ในขณะนี้" ประมาณ 3 - 4 รอบ เอาละหว่าใจไม่ดีละ
จนครั้งที่ 5 ก็ประกาศเหมือนเดิมอีก และให้ผู้โดยสารออกมารอข้างนอกพร้อมรับคูปองเงินสดมีค่า 100 บาท พร้อมทั้งบอกเหตุผลว่า "เครื่องบินไม่สามารถลงจอดได้และตอนนี้ได้กลับไปที่ ดอนเมือง เพื่อเติมเชื้อเพลิง ผู้โดยสารจะประสงค์รอ หรือว่าเลื่อนเที่ยวบินค่ะ" ผมนี่คิดในใจเลยนอนสนามบินแน่นอน (ทำไมไม่ตกกลางวันมาตกอะไรตอนเราจะกลับบ้าน) และเจ้าหน้าที่สายการบินนกแอร์ก็แจ้งว่า เครื่องจะมาถึงนี่อีกทีตอนเวลา 22.30น. นะคะ เฮ้อออออ จากที่จะได้ขึ้นเครื่องบินกลับตอนเวลา 19.00น. เลื่อนออกไป 3 ชม.เลย (ใช้เวลาบินไป-กลับ ครั้งละ 1.30 ชม. รวมเป็น 3 ชม.)
ผมเลยต้องใช้คูปองซื้ออาหารที่สนามบินทานครับ ได้ข้าวผัดปู น้ำผลไม้มาลี และน้ำเปล่า โดยใช้คูปองที่ได้มา ไม่เคยทานข้าวของสนามบินมาก่อนเลยเป็นครั้งแรก และรสชาติสุดยอดมากไม่รู้เพราะความหิวหรือป่าว พอทานเสร็จผมก็หลับเลยครับ หน้าทีวีช่อง 8 ของสนามบิน และเวลา 22.30น. เสียงที่ผมรอคอยก็มาถึง "เมื่อเจ้าหน้าที่สายการบินก็ได้แจ้งว่าตอนนี้เครื่องได้ใกล้มาถึงแล้ว ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านเข้าไปรอใน Gate หมายเลข 2 ได้เลยค่ะ" ผมนี้ดีใจสุด ๆ แต่พอเข้าไปรอรู้ไหมครับได้ขึ้นเครื่องจริง ๆ กี่โมง ได้ขึ้นเครื่องจริง ๆ 23.30น. ครับ ให้เข้าไปรอทำไมตั้ง 1 ชม.เนี่ย 
รอบข้างมืดมากกกกกกก เมื่อขึ้นเครื่องได้เท่านั้นผมหลับเลยเพราะความเพลีย วันนี้ทั้งวันเลยจริง ๆ เครื่องออก 23.30น. ถึงสนามบินดอนเมือง ตี 1 ครับโดยประมาณ รับกระเป๋าและรีบกลับบ้าน เนื่องจากเช้าวันเสาร์มี ทริปสวนสนประดพัทธ์ครับ ผมจะจดจำการเดินทางครั้งนี้ตลอดเลย เป็นการรอเครื่องบินที่ยาวนานมาก ๆ จบแล้วครับ

สรุปค่าใช้จ่ายกันนะครับ
ค่าเครื่องบิน ไป - กลับ ขาละ 1,050 บาท ( 1,050 x 2 = 2,100 บาท )
ค่าใช้จ่ายจิปาถะอาหารการกินอยู่ที่ 1,000 - 2,000 บาท
ค่าโรงแรมภูธาราคืนละ 650 บาท ( 650 x 5 คืน = 2,600 บาท )
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 6,700 บาท ( ทริปนี้ทั้งหมดบริษัทฯ ออกให้ครับ )

ถ้าใครมาพัก 1 - 2 คืน ค่าใช้จ่ายก็จะลดลงนะครับ ตอนมาผมมาฤดูฝนค่าห้องเลยถูกเพราะเป็น Low Season ถ้ามาช่วงเดือน พ.ย. - ก.พ. อาจได้ราคาเต็ม หรือบวกเพิ่มนะครับ ถ้าเพื่อนต่อค่าห้องได้ก็ต่อเลยครับทางโรงแรมก็ต้องการคนเข้าพักเหมือนกันยังไงซะก็ต้องลดให้อยู่แล้ว ผมไปละครับเดียวมารีวิวเรื่องราว สวนสนประดิพัทธ์ ต่อครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น